วัคซีนสำหรับโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ครั้งก่อนนี้พูดถึงวัคซีนในอุดมคติไปบ้างแล้วแต่ก็อย่างที่ทราบว่าเป็นไปได้ยากที่จะมีวัคซีนในอุดมคติมาให้ใช้เพื่อป้องกันโรคได้ง่ายๆ ทั้งนี้การที่จะเลือกวัคซีนอะไร แบบไหนมาใช้ ควรจะต้องให้ความสำคัญกับกลไกการควบคุมโรคว่าร่างกายสัตว์มีกลไกของระบบภูมิคุ้มกันแบบไหนที่ใช้ในการควบคุมป้องกันการติดเชื้อโรค นอกจากนี้ ควรต้องรู้ว่าเชื้อก่อโรคแต่ละชนิดมีวงจรการก่อโรคเป็นอย่างไร อวัยวะเป้าหมายของเชื้อคืออวัยวะใด เชื้อเข้าไปอยู่ในส่วนไหนของร่างกาย เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้วเชื้อสามารถแพร่กระจายไปทั่วร่างกายได้หรือคงอยู่เฉพาะบางส่วน/บางบริเวณของร่างกายต้องทราบว่าเชื้อมีการผลิตสารอื่นที่มีผลกับร่างกายอย่างไรบ้าง (endotoxin หรือ exotoxin) รวมถึงกระบวนการหลบเลี่ยงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะทำให้สามารถประเมินกระบวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เบื้องต้น ภูมิคุ้มกันแบบไหนที่มีผลต่อการป้องกันการเกิดโรคได้ ทั้งนี้ในการเลือกวัคซีนสำหรับป้องกันโรคก็ควรทราบหลักการข้างต้นเบื้องต้นเพื่อช่วยในการพิจารณาเลือกใช้วัคซีนทั้งที่ผลิตขึ้นมาจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ในส่วนของการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ภายนอกเซลล์โฮสต์ (extracellular bacteria) เชื้อจะอยู่ภายนอกเซลล์และเจริญเติบโตเพิ่มจำนวน หลั่งสารพิษทำลายเซลล์เจ้าบ้านดังนั้นคุณสมบัติของวัคซีนป้องกันโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจะเริ่มต้นโดยแอนติเจนของแบคทีเรียวัคซีนซึ่งส่วนใหญ่เป็น polysaccharide, peptidoglycan เข้าสู่ร่างกายแล้วไปกระตุ้นกลไกการตอบสนองของระบบทางภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เซลล์กลุ่มที่มีหน้าที่เก็บกินเชื้อโรค (phogocytic cell) ที่อยู่ในบริเวณที่ฉีดวัคซีนซึ่งมีการอักเสบผลิตสารไซโตไคน์ชนิดต่างๆ เช่น cytokine IL-1, IL-6, IL-8 และ TNF- α เพื่อส่งสัญญาณให้เซลล์เม็ดเลือดขาวเข้ามาในบริเวณที่อักเสบจากนั้นจะมีการกระตุ้นการทำงานอย่างต่อเนื่องของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเป็นทอดๆ มีการกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิด B cell พัฒนาไปเป็น plasma cell และผลิตแอนติบอดีที่มีความจำเพาะกับแอนติเจนออกมา แอนติเจนจากวัคซีนเมื่อถูกเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันย่อยทำลาย ส่วนของแอนติเจนที่เกิดขึ้นจะไปกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานเก็บกินเชื้อโรคต่อไป จนกว่าแอนติเจนจะถูกกำจัดไปท้ายที่สุดร่างกายจะมีการพัฒนาของเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดที่มีส่วนในการทำให้ร่างกายสามารถใช้ในการตอบสนองต่อการได้รับแอนติเจนอย่างรวดเร็วต่อไปเมื่อได้รับเชื้อก็จะสามารถควบคุมความรุนแรงการระบาดของโรคได้ ที่เขียนมาก็เป็นความรู้คร่าวๆ ในเรื่องของวัคซีนสำหรับโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียนะคะในครั้งถัดไปถ้าจะพูดถึงโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียแล้วละก็ วัคซีนที่ใช้จะแตกต่างกันอย่างไรกรุณาติดตามอ่านกันต่อไปค่ะ สัตวแพทย์หญิง ดร.มินตรา ลักขณา (หมอเม)
Vaccine for bacterial diseases We’ve introduced you about “What is vaccine?” on the previous topic. This time, we will talk about vaccine used against bacterial diseases. First of all, farmer must have some basic understanding of how the immune system of the animal (in their farm) works. Farmers should also have some information about the disease. For example, what are target organs of the pathogen? The pathogen causes systemic or localize infection? Does the pathogen produce any toxin? Is the pathogen able to evade immune system? And, what kind of immunity does the pathogen induce (cellular or humoral)? In this topic, we will explain how bacterial pathogens activate immunity. Extracellular bacteria stay and replicate outside host cells. These bacteria then produce toxin which damage the cells. Therefore, vaccines for bacterial diseases should made of antigens derived from bacterial parts such as polysaccharide and peptidoglycan. These antigens once enter the body, will be taken up by phagocytic cells at the site of injection (or immersion, etc.). Then, phagocytic cells produce special substances called “proinflammatory cytokine”, such as IL-1, IL-6, IL-8 and TNF- α to signal other white blood cells to migrate to the site. Stimulation of several immune pathways will follow, which finally activate B cells to transform into plasma cells and memory cells. Plasma cells produce antibodies specific to the antigens, while memory call stay put and be ready for the next invasion. Basically speaking, vaccination makes our body train with the fake pathogens (dead or weak) in order to make our immune system learn and be able to fight the real diseases effectively, when it actually happens. Mintra Lukkana, DVM, MSc, PhD Pathradol Piamsomboon , DVM , PhD
|