PM 2.5 โรคหัวใจและหลอดเลือด เมนูปลา เกี่ยวกันยังไง: 2
บทความครั้งก่อนที่เล่าถึงความน่าทึ่งของการศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคปลา และปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือดค้างเอาไว้ วันนี้จะมาต่อให้จบนะคะ สาเหตุหลักๆ เลยที่การทานเนื้อปลาช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น เนื่องจากเนื้อปลาเต็มไปด้วยโอเมก้า 3 (omega 3) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด ลดการจับตัวกันเป็นก้อนของเกล็ดเลือด และยังช่วยยับยั้งการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ ดังนั้นโอกาสที่หัวใจและหลอดเลือดจะเกิดความผิดปกติจึงลดลง ปลาทะเลไทยของเราก็มีอยู่หลายชนิดเหมือนกันนะคะที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาจะละเม็ดขาว ปลาสำลี ปลากะพงขาว ปลาอินทรี และปลาทู เป็นต้น ส่วนในปลาน้ำจืดก็มีผู้วิจัยเรื่องโอเมก้า 3 เหมือนกัน จากข้อมูลการวิจัยของ ดร.ครรชิต จุดประสงค์ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปลาน้ำจืดในบ้านเราก็มีโอเมก้า 3 เช่นกัน เพียงแต่ต้องเป็นปลาที่มีการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้าเท่านั้น เนื่องจากมีการใช้อาหารที่เป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ในการเพาะเลี้ยงปลา เช่น ปลานิลมีไขมันทั้งหมด 1.8 กรัม เป็นโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.12 กรัม ปลากรายมีไขมันทั้งหมด 1.2 กรัม เป็นโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.14 กรัม และปลาสวายมีไขมันทั้งหมด 8.9 กรัม เป็นโอเมก้า 3 อยู่ที่ 0.45 กรัม จะเห็นว่าปลาน้ำจืดก็มีโอเมก้า 3 เหมาะแก่การบริโภคเพื่อประโยชน์ในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดตามที่เล่ามาข้างต้น แต่อย่าลืมว่าเวลาที่เราทานปลาไม่ได้มีแค่โอเมก้า 3 นะคะ ในเนื้อปลายังมีไขมันอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นนักโภชนาการเลยมีคำแนะนำให้เลือกทานเนื้อปลาในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมันควรเลือกใช้วิธีปรุงเนื้อปลาด้วยวิธี นึ่ง ต้ม หรือ แกง หลีกเลี่ยงการทอดจะได้ไม่ไปช่วยเพิ่มปริมาณไขมันในอาหาร และควรเลือกทานส่วนที่เป็นเนื้อปลา มากกว่าบริเวณพุงปลาเพราะว่ามีไขมันสะสมมากกว่าบริเวณอื่น เขียนมาถึงตอนนี้ก็เริ่มหิวและอยากทานเมนูปลากะพงนึ่งมะนาวขึ้นมาเลย และจากที่เล่ามาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าการทานเนื้อปลานั้นมีประโยชน์ หากเลือกทานอย่างถูกวิธี นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยแล้ว คุณค่าทางอาหารของเนื้อปลายังช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วยค่ะ ใครมีเมนูปลาสุขภาพมาแนะนำกันได้นะคะ สัตวแพทย์หญิง ดร.มินตรา ลักขณา (หมอเม)
|