ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในโรงเพาะฟักลูกกุ้ง: ประโยชน์/ต้นทุน (2)
มาต่อกันจากบทความก่อนหน้าค่ะ เรื่องของกระบวนการความปลอดภัยทางชีวภาพในโรงเพาะฟักลูกกุ้ง เรื่องเด่นๆ ต้องมีกระบวนการอะไรบ้างตามนี้เลย 1. ต้องมีการรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ต้องระวังและการเฝ้าระวังโรคจากแหล่งที่เชื่อถืออ้างอิงได้ เช่น - เจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจหน้าที่ (Competent authorities) องค์กร สมาคม องค์กรระหว่างประเทศ - เอกสารทางวิชาการหรือสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับโรค - รายงานผลการสำรวจ เฝ้าระวังโรคในสิ่งแวดล้อม แหล่งน้ำ หรือฟาร์มในพื้นที่ต่างๆ 2. โรงเพาะฟักลูกกุ้งต้องมีการจัดทำเอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงานหรือ SOP ยกตัวอย่างขั้นตอนการปฏิบัติงาน เช่น ขั้นตอนการเตรียมน้ำสำหรับเพาะเลี้ยง ขั้นตอนการเตรียมอาหาร ขั้นตอนการเลี้ยง larva ต้องมีการควบคุมคุณภาพของ PL จนบรรจุขาย มีการจดบันทึกข้อมูลที่สำคัญในแต่ละขั้นตอนการทำงาน และต้องมั่นใจว่าการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนเป็นไปตามเอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงาน 3. ต้องมีการเตรียมน้ำ/คุณภาพน้ำที่ใช้ในการเพาะเลี้ยง เตรียมระบบบำบัดน้ำก่อนปล่อยออกนอกฟาร์มให้เหมาะสมตามเอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงาน ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้น โดยมีการตรวจสอบการทำงานของระบบที่มีอยู่ ตรวจเชื้อก่อโรค ตรวจสารเคมีและสารตกค้างตามความเหมาะสมและความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพของระบบ 4. มีการตรวจสอบขั้นตอนการทำงานอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องแจ้งผู้เกี่ยวข้องรู้ล่วงหน้า บันทึกผลการตรวจสอบ การวิเคราะห์ตรวจสอบ และมีการรายงานให้ผู้จัดการฟาร์มหรือผู้รับผิดชอบทราบทันทีหากพบว่ามีความบกพร่องของการปฏิบัติงานเกิดขึ้นเพื่อจะได้แก้ไขปัญหาได้ทันเวลา มีการติดตามอย่างต่อเนื่องว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาไปแล้วตามที่รายงาน โดยต้องดำเนินการจัดการอย่างเหมาะสมพร้อมให้คำอธิบายและให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการแก้ไข อาจกำหนดบทลงโทษเพื่อใช้เป็นมาตรการปรับปรุงการปฏิบัติ มีการจัดทำสรุปรวบรวมเหตุการณ์ ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อการพัฒนาปรับปรุงระบบ ทบทวนเอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงานต่อไปรวมทั้งพัฒนาการฝึกอบรมบุคลากรในฟาร์มและและวิธีการแก้ไขปัญหา กระบวนการเด่นๆ ที่กล่าวมาในระบบความปลอดภัยทางชีวภาพมีการป้องกัน การควบคุมและการตรวจสอบการทำงาน มีประเด็นเรื่องต้นทุนมาเกี่ยวข้อง และกิจกรรมที่เป็นต้นทุนก็มีหลายส่วน เช่น - ต้องมีโครงสร้างฟาร์มที่เอื้ออำนวยต่อการจัดทำระบบ - มีผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ บุคลากรที่มีหน้าที่รับผิดชอบเหมาะสมกับงานและความรู้ความสามารถ - มีห้องปฏิบัติการหรือสามารถเข้าถึงห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจเชื้อก่อโรคได้ เพื่อตรวจสอบสถานะของระบบความปลอดภัยทางชีวภาพว่ายังมีประสิทธิภาพอยู่ - มีการวิเคราะห์และระบุโรคที่ควรต้องเฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอ - มีการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเตรียมน้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย จะเห็นว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายสำคัญจะอยู่ที่ห้องปฏิบัติการ และนักวิชาการที่เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจพิจารณาประสานขอความร่วมมือในการทำงานกับหน่วยงานที่มีความพร้อม เช่น มหาวิทยาลัย สถาบัน หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลสุขภาพสัตว์น้ำ หรือผู้ประกอบการอาจร่วมทุนกันจัดทำห้องปฏิบัติการขึ้นมาเพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้ได้ค่ะ
ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับสภาพการเลี้ยงในโลกยุคปัจจุบัน และทั่วโลกให้ความสำคัญกันเพิ่มมากขึ้นอย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ เหนือกว่าระบบนี้ยังมีเรื่องของการจัดทำ Compartment ในฟาร์ม ซึ่งซับซ้อนกว่านี้มากค่ะ ไว้โอกาสหน้าจะเล่าสู่กันฟังค่ะ สัตวแพทย์หญิง ดร.มินตรา ลักขณา (หมอเม)
|