ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มปลานิล: การพัฒนาสายพันธุ์
อย่างที่รู้ๆกันว่าปลานิลเป็นปลาน้ำจืดที่มีการเพาะเลี้ยงมากในประเทศไทย ถึงแม้ปลานิลจะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาแต่การผลิตและเพาะเลี้ยงปลานิลในปัจจุบันมีการเลี้ยงแพร่หลายไปกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ปลานิลจัดเป็นปลาน้ำจืดที่มีการเลี้ยงในฟาร์มมากเป็นอันดับสอง รองจากปลาคาร์พ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ โปรแกรมการปรับปรุงพันธุ์เป็นการคัดเลือกลักษณะที่ดีของสัตว์ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันเพื่อนำมาเพาะเลี้ยง เช่น ต้องการให้โตเร็ว ต้องการให้มีผลผลิตสูง หรือทนทานต่อเชื้อก่อโรค ทนสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง หรือทนต่อการเลี้ยงในสภาวะที่มีออกซิเจนต่ำ ทนต่อความเค็ม เป็นต้น การปรับปรุงพันธุกรรมในปลานิลเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 1988 (พ.ศ.2531) และนำไปสู่การพัฒนาสายพันธุ์ที่ปรับปรุงแล้วหลายสายพันธุ์ สำหรับปลานิลชนิดที่มีการเลี้ยงแพร่หลาย ยกตัวอย่างเช่น Oreochromis niloticus หรือ Nile tilapia (เลี้ยงมากในประเทศไทย) และ O. mossambicus หรือ Mozambique tilapia ต่อมาก็มีการพัฒนาสายพันธุ์ไปหลากหลายชนิด เช่น O. niloticus ใน Asia (ปลานิลกิฟท์ หรือ GIFT strain มาจาก Genetically Improved Farmed Tilapia) O. niloticus ในอียิปต์ Egypt (Abbassa strain) O. niloticus ในกาห์น่า (Akosombo strain) ปลานิลเป็นปลาที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และค่อนข้างทนต่อการติดเชื้อ แต่ปัจจุบันการเลี้ยงปลานิลมีสภาพการเลี้ยงที่แตกต่างไป เป็นการเลี้ยงอย่างหนาแน่นในรูปแบบอุตสาหกรรมจึงทำให้สามารถพบการเกิดโรคเพิ่มมากขึ้น หากไม่มีการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย Streptococcus agalactiae เชื้อแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila เชื้อไวรัส Tilapia iridovirus เชื้อไวรัสทีไอแอลวี (Tilapia Lake Virus, TiLV) และโรคอียูเอส (Epizootic Ulcerative Syndrome, EUS) เมื่อพบการระบาดของโรคเพิ่มมากขึ้นและเกิดความสูญเสียมากขึ้น ทำให้ฟาร์มต่างๆ เริ่มสนใจเรื่องการควบคุมและป้องกันโรครวมทั้งระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity system นั่นเอง จากบทความก่อนหน้านี้ที่ได้เล่าไปแล้วว่าการจะนำระบบความปลอดภัยทางชีวภาพมาใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องมีการดำเนินการของระบบที่สอดคล้องกันในทุกระดับ คือ ระดับฟาร์ม ระดับโรงเพาะฟัก ระดับประเทศ และระดับระหว่างประเทศ เมื่อพิจารณาถึงระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในแง่ของการพัฒนาสายพันธุ์ปลานิลแล้ว การควบคุมคุณภาพของปลานิลและการขายปลานิลที่พัฒนาสายพันธุ์แล้วออกไปในหลายๆ ประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญมากในภาพรวมของความปลอดภัยทางชีวภาพ นอกเหนือจากการพัฒนาสายพันธุ์ที่เน้นเรื่องการเจริญเติบโตเท่านั้น ในการพัฒนาและขายพันธุ์ปลานิลต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทางชีวภาพโดยรวม ฟาร์มควรต้องมีระบบการรับรองลูกพันธุ์ ระบบการคัดกรองโรคในพ่อแม่พันธุ์และลูกพันธุ์โดยเฉพาะเชื้อโรคที่สำคัญ มีการจัดทำพ่อแม่พันธุ์และลูกพันธุ์ปลอดโรค (SPF หรือ specific pathogen free) เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ ในการขายลูกพันธุ์ปลานิลควรต้องดำเนินการตามมาตรฐานสากลโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานขององค์การสุขภาพสัตว์โลก หรือ OIE เช่น มีใบรับรองสุขภาพ (health certification) ทำตามข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการกักกันโรคก่อนเข้าพื้นที่เลี้ยง ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสัตว์น้ำข้ามแดนเพื่อให้แน่ใจว่าเกิดการค้าและเคลื่อนย้ายสัตว์ที่มีความปลอดภัย สำหรับงานวิจัยในอนาคตควรมุ่งเน้นไปที่การคิดค้นวัคซีน การฉีดวัคซีนให้สัตว์น้ำ ฉีดวัคซีนให้พ่อแม่พันธุ์ ลูกพันธุ์เพื่อป้องกันโรคที่เฉพาะเจาะจงพร้อมกับมีโปรแกรมการพัฒนาสายพันธุ์ระยะยาวที่เน้นให้เกิดการต้านทานโรคด้วย สัตวแพทย์หญิง ดร.มินตรา ลักขณา (หมอเม)
|